ศาสนา
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
บทความนี้อาจต้องการเขียนใหม่ทั้งหมดเพื่อให้เข้ากับแนวทางการเขียนวิกิพีเดีย คุณช่วยเราได้ โปรดดูหน้าอภิปราย ซึ่งอาจมีข้อเสนอปรับปรุง |
บทความนี้ได้รับแจ้งให้ปรับปรุงตามด้านล่าง กรุณาช่วยปรับปรุงบทความ หรือเสนอแนะที่หน้าอภิปราย
|
ศาสนา (อังกฤษ: religion) หมายถึง ความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเหนือธรรมชาติ ในหลักอภิปรัชญาว่าทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้นมาดำรงอยู่และจะเป็นเช่นไรต่อไป มีหลักการ สถาบัน หรือประเพณี ที่เป็นที่เคารพโดยทั่วไป แล้วอาจกล่าวได้ว่า ศาสนาเป็นสิ่งที่ควบคุม และประสานความสัมพันธ์ของมนุษย์ ให้อยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข คือ ให้มีหลักการ ค่านิยม วัฒนธรรมร่วมกันและวิถีทางที่มนุษย์เลือกใช้ในการดำรงชีวิต ให้สังคมเป็นหนึ่งเดียวกัน มีแนวทางไปในทิศทางเดียวกัน ด้วยหลักจริยธรรม คุณธรรม ศิลธรรมที่เป็นบรรทัดฐานเดียวกัน
นอกจากการนับถือศาสนาแล้ว ยังมีความเชื่อไม่นับถือศาสนาด้วย เรียก "อศาสนา" (อังกฤษ: irreligion) และผู้ไม่นับถือศาสนาเรียก "อศาสนิก" (อังกฤษ:irreligious person)
เนื้อหา[ซ่อน] |
ความหมายเชิงนิรุกติศาสตร์[แก้]
สำหรับบางภาษา มีการใช้คำว่าศาสนาแตกต่างกันออกไป และบางภาษาไม่มีคำว่าศาสนาโดยสิ้นเชิง เช่นภาษาสันสกฤต คำว่า ธรรมะ (dharma) อาจใช้เทียบเคียงกับศาสนาได้ แต่มีความหมายโดยทั่วไปว่ากฎหมาย
ความหมายและความสำคัญ[แก้]
- บอกถึงหลักอภิปรัชญา ว่าโลกนี้เกิดขึ้นมาจากอะไร และจะเป็นเช่นไร
- สอนหลักคุณธรรมศีลธรรมจริยธรรมของมนุษย์ในการอยู่ร่วมกัน
- ให้รู้จักการดำเนินชิวิตเช่นไรจึงจะถูกต้อง
- มีเป้าหมายในชีวิต เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ไม่เพียงแต่เกิดมาเพื่อกิน และเสพกามเท่านั้น
- หลักศรัทธา ว่าทำดีได้รางวัลคือขึ้นสวรรค์ ทำชั่วได้โทษคือตกนรก ทำให้แม้จะลับตาคนไร้กฎหมายก็ไม่ทำชั่วทำแต่ดี
- เป็นที่พึ่งทางใจ ในยามชีวิตประสบปัญหาสิ้นหวัง ไร้กำลังใจ หรือปลอบประโลม ผู้สูญเสีย บุคคลอันเป็นที่รัก
- เป็นบ่อเกิดแห่งศิลปะ วัฒนธรรม และประเพณี
ประวัติ[แก้]
มีความเชื่อว่าศาสนานั้นเกิดมาจากความต้องการเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ นับแต่อดีตมนุษย์จะสงสัยว่าสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ทำไมต้องเกิดขึ้น จะเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ เปลี่ยนแปลงแล้วจะเกิดผลอะไรต่อมาอีก จนนำมาสู่การค้นหาแนวทางต่างๆเพื่อตอบปัญหาเหล่านี้ จนนำมาเป็นความเชื่อและเลื่อมใส ตัวอย่างเช่นศาสนาพุทธ เกิดจากเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นความทุกข์ จึงทรงหาแนวทางให้หลุดพ้นจากความทุกข์ ด้วยวิธีการต่าง ๆ นา ๆ จนทรงค้นพบอริยสัจ 4 ด้วยวิธีที่ เป็นการฝึกจิตด้วยสติจนถึงซึ่งความรู้แจ้ง ในสรรพสิ่ง และความดับความทุกข์ ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดับสิ้นซึ่งกิเลส ทรงสอนให้มนุษย์ ให้ทำบุญ รักษาศีล และภาวนา เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการพ้นทุกข์ของมหาชน อย่างไรก็ตาม ในการศึกษาในปัจจุบัน คำอธิบายของการเกิดขึ้นและพัฒนาการของศาสนา สามารถแบ่งได้เป็นสี่กลุ่ม[ต้องการอ้างอิง]
- ศาสนาเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นจากความกลัว ในธรรมชาติที่ตนเองไม่รู้ จนต้องวิงวอนและร้องขอในสิ่งที่อยากได้
- ศาสนาเกิดจากความไม่รู้สงสัย ในอภิปรัชญาว่าโลกเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และจะเป็นเช่นไรต่อไป
- ศาสนาเกิดจากความต้องการที่จะสร้างความเชื่อขึ้นมา เพื่อช่วยควบคุมความประพฤติของคนในสังคม ให้สังคมสงบสุข
- ศาสนาเกิดจากความต้องการที่จะพ้นจากความทุกข์ เช่นความอดอยาก โรคระบาด ความแก่ ความตาย การสูญเสีย
องค์ประกอบ[แก้]
ประเภท[แก้]
ศาสนาในโลกถึงแม้จะมีมาก แต่ถ้าจัดเป็นประเภทก็ได้เป็น 2 ประเภท คือ
เทวนิยม[แก้]
- ดูบทความหลักที่ เทวนิยม
เชื่อว่ามีเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เหนือกว่าเทพเจ้าทั้งหลาย หรือเรียกกันว่าพระเป็นเจ้า มีเพียงพระองค์เดียว เป็นพระผู้สร้างโลกและสรรพสิ่งและเชื่อกันว่าพระเจ้าอาจติดต่อมนุษย์โดยผ่านผู้เผยพระวจนะหลายคน เช่นอัลลอฮ์ทรงติดต่อกับนบีมุฮัมหมัด พระยาห์เวห์ทรงติดต่อกับโมเสสและพระเยซู ส่วนบางศาสนาก็นับถือพระเจ้าหรือเทพเจ้าหลายองค์ อย่างศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เชื่อว่าพระเจ้าอวตารแยกเป็น 3 องค์เรียกว่าตรีมูรติเป็นต้น
เอกเทวนิยม[แก้]
- ดูบทความหลักที่ เอกเทวนิยม
ทวิเทวนิยม[แก้]
- ดูบทความหลักที่ ทวิเทวนิยม
พหุเทวนิยม[แก้]
- ดูบทความหลักที่ พหุเทวนิยม
อเทวนิยม[แก้]
- ดูบทความหลักที่ อเทวนิยม
ศาสนาประเภทนี้ ไม่เชื่อในการมีอยู่จริงของพระเป็นเจ้า โดยเชื่อว่าโลกและสรรพสิ่งเกิดขึ้นเองตามกฎของธรรมชาติ เชื่อว่ามนุษย์เป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของตนเอง ทุกสิ่งเป็นไปตามเหตุปัจจัย ศาสนาประเภทนี้ ได้แก่
กลุ่มของศาสนา[แก้]
ศาสนาอับราฮัม[แก้]
ศาสนาอินเดีย[แก้]
ศาสนาอินเดียเป็นศาสนาที่มาจากประเทศอินเดีย
ศาสนาจีน[แก้]
ศาสนาอิหร่าน[แก้]
ศาสนาญี่ปุ่น[แก้]
ปรัชญา[แก้]
ศาสนาของโลกถ้าแบ่งตามลักษณะปรัชญาที่คล้ายคลึงกัน แบ่งได้ 2 ลักษณะ
ศาสนาที่ยึดถือพระเจ้าเป็นสิ่งสูงสุด
กลุ่นศาสนาที่นิยมเรียกว่า ปรัชญาตะวันตก โดยถือตามอิทธิพลในการรับอารยธรรม ได้แก่ศาสนาโซโรอัสเตอร์ ศาสนายูดาห์ (ยิว) ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาซิกข์ ศาสนาบาไฮ ศาสนาฮินดู
ศาสนากลุ่มนี้มีลักษณะที่คล้ายกันคือ
- พระเจ้าคือสิ่งที่ทรงปัญญาสูงสุด และมีอำนาจสูงสุด ที่ไม่อาจเข้าถึงได้ ถ้าพระองค์ไม่ประสงค์
- ศาสนิกต้องแสดงความรักหรือภักดีต่อพระเจ้าด้วยการสรรเสริญ ปฏิบัติตามที่พระองค์ประสงค์ที่ได้ตรัสผ่านศาสนทูตของพระเจ้า
- อาจขอให้ทรงไถ่บาป อ้อนวอนให้ทรงประทานสิ่งที่ดีแก่ชีวิต
- เชื่อว่าเป็นพระผู้สร้าง สร้างสรรพสิ่ง กำหนดสภาวการณ์ที่เป็นไปของโลก แต่ทรงปล่อยให้มนุษย์เลือกทางแห่งตนเอง โดยจะทรงช่วยเมื่อมนุษย์ลงมือกระทำ
- ก่อนที่จะเชื่อให้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เมื่อเชื่อแล้วอย่าสงสัย เพราะพระเจ้าจะทรงทดสอบจิตใจในศรัทธา
- เมื่อถึงวันสิ้นโลกพระเจ้าจะทำลายทุกสิ่ง ที่พระองค์สร้างขึ้น และจะชุบชีวิตทุกคนให้ฟื้นคืนชีพมารับฟังคำพิพากษา ผู้เชื่อจะรอด และอยู่กับพระองค์ชั่วนิรันดร์ ผู้ไม่เชื่อ จะถูกลงทัณฑ์ให้ตกนรกชั่วกาล
- ให้วางใจในพระเจ้า รับพระองค์เข้าไว้ในใจจะพบแต่สันติสุข
ศาสนาที่มุ่งเข้าถึงความจริงสูงสุด
กลุ่มศาสนาที่นิยมเรียกว่าปรัชญาตะวันออก โดยถือตามอิทธิพลในการรับอารยธรรม ได้แก่ศาสนาพุทธทั้งเถรวาทและนิกายเซน ศาสนาเชน ลัทธิเต๋าและลัทธิขงจื๊อ ศาสนากลุ่มนี้มีลักษณะที่คล้ายกันคือ
- เชื่อว่าโลกนี้เกิดขึ้นเองตามกฎธรรมชาติ สรรพสิ่งแท้จริงเป็นเพียงความว่างเปล่า
- ความจริงแท้ไม่อาจอธิบายได้ด้วยคำพูด และไม่อาจเข้าถึงได้ด้วยหลักตรรกะและอนุมาน
- การเข้าถึงความจริงแท้ทำได้ด้วยการบรรลุปัญญาญาณ จากการไม่ติดอยู่ในมายาของตรรกะและอนุมาน
- เชื่อในการเวียนว่ายตายเกิด เชื่อในกฎแห่งกรรม
- มีหลักคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม ที่มักน้อยสันโดษพอเพียง ยึดถือหน้าที่ มีวันัยสูงไม่เห็นแก่ตัว แต่ไม่ยึดติดในสิ่งทั้งปวง มุ่งละกิเลส
- เชื่อในตัวมนุษย์ว่าเข้าถึงความจริงได้ ทุกสิ่งเกิดจากการกระทำของตนเอง เชื่อในศาสตร์ลี้ลับ (เวทมนตร์ โหราศาสตร์ ไสยศาสตร์) ว่ามีจริง
- เชื่อว่าถ้าจิตวิญญาณเข้าถึงความจริงสูงสุดจะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
ทั้งสองกลุ่มมีความเชื่อที่ไม่เหมือนกันคือกลุ่มแรกยอมรับว่าองค์สูงสุดมีอยู่จริง เช่นศาสนาคริสต์และอิสลามเรียกองค์สูงสุดว่าพระเจ้า ผู้นับถือมีเป้าหมายเพื่อการเข้าไปรวมอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า ส่วนกลุ่มหลังเช่นศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ไม่ยอมรับการมีอยู่ของพระเจ้าหรือองค์สูงสุด แต่เชื่อในการมีอยู่ของเทพเจ้า (เหล่าพรหมา) ซึ่งเป็นเทวดาชั้นสูงสุดเรียกว่าพรหม แต่ต่างกันตรงที่ผู้ที่นับถือศาสนาศาสนาพุทธไม่มีเป้าหมายเพื่อการไปรวมอยู่กับพรหม แต่สามารถไปเกิดเป็นพรหมได้ เพราะการรวมอยู่หรือไปเกิดเป็นพรหม เมื่อหมดเหตุปัจจัยก็ยังต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ อันมีต่ำสุดคือนรก สูงสุดคือพรหม อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทางที่จะหลุดพ้นจากสังสารวัฏได้จึงมีทางเดียวเท่านั้นคือ นิพพาน
ศาสนาในอดีตและปัจจุบัน[แก้]
ศาสนาในโลกอาจแบ่งเป็นศาสนาที่ยังมีชีวิตอยู่ ศาสนาที่ตายแล้ว และศาสนาที่สาบสูญ
- ศาสนาที่ยังมีชีวิตอยู่ คือศาสนาที่มีความเป็นสถาบันมีองค์กร มีผู้นับถือเป็นจำนวนมากพอประมาณ มีระบบคำสอน ได้แก่ศาสนาในโลกปัจจุบัน
- ศาสนาที่ตายแล้ว คือศาสนาที่เคยมีผู้นับถือ แต่ปัจจุบันแทบไม่มีคนนับถืออีกแล้ว แต่ยังมีหลักฐานให้เรารู้ว่าเคยมีศาสนานี้อยู่ในโลกมาก่อน
- ศาสนาที่สาบสูญ คือศาสนาที่เราไม่มีข้อมูลให้รู้ว่าเคยมีศาสนานี้อยู่ในโลกมาก่อน
อดีต[แก้]
ศาสนาที่ตายแล้ว
- ศาสนาอียิปต์โบราณ
- ศาสนาเปรูโบราณ
- ศาสนาเม็กซิโกโบราณ
- ศาสนามิถรา
- ศาสนามาณีกี
- ศาสนาบาบิโลเนียน
- ศาสนาสุเมอเลี่ยน-อัคคาเดียน
- ศาสนาฮิตไทต์
- ศาสนากรีก
- ศาสนาโรมัน
- ศาสนาเซลติก
- ศาสนาสแกนดิเนเวีย-ติวตันโบราณ
ปัจจุบัน[แก้]
ศาสนาที่ยังมีชีวิตอยู่
- ศาสนาคริสต์
- ศาสนาอิสลาม
- ศาสนาฮินดู
- ศาสนาพุทธ
- ศาสนาซิกข์
- ศาสนายูดาห์
- ศาสนาเชน
- ศาสนาโซโรอัสเตอร์
- ศาสนาบาไฮ
- ศาสนาเต๋า
- ลัทธิอนุตตรธรรม
จำนวนผู้นับถือศาสนา ๆ[1][แก้]
- ศาสนาคริสต์: 2.1 พันล้านคน – 2.2 พันล้านคน
- ศาสนาพุทธ: 500 ล้านคน – 1.9 พันล้านคน[2]
- ศาสนาอิสลาม: 1.5 พันล้านคน – 1.6 พันล้านคน [3]
- ไม่นับถือศาสนา/เชื่อในวิทยาศาสตร์แบบตายแล้วสูญ/อศาสนา: 1.1 พันล้านคน
- ศาสนาฮินดู: 1.0 พันล้านคน – 1.1 พันล้านคน
- ศาสนาซิกข์: 23 ล้านคน
- ลัทธิจูเช (นับถือคิมอิลซุง) : 19 ล้านคน
- นับถือผี: 15 ล้านคน
- ศาสนายูดาห์: 14 ล้านคน
- ศาสนาบาไฮ: 7 ล้านคน
- ศาสนาโซโรอัสเตอร์: 2.6 ล้านคน
- ลัทธิเพแกนใหม่: 1 ล้านคน
- ขบวนการราสตาฟาเรียน: 6 แสนคน
ตารางเปรียบเทียบศาสนา[แก้]
ชื่อศาสนา | ศาสดา | ฉายาลักษณ์พระองค์ | คัมภีร์ | สัญลักษณ์ | ภาพตัวแทนสัญลักษณ์ |
---|---|---|---|---|---|
พระพุทธศาสนา | พระโคตมพุทธเจ้า | พระไตรปิฎก | ธรรมจักร | ||
ศาสนาอิสลาม | นบีมุฮัมมัด | อัลกุรอาน | พระจันทร์เสี้ยวกับดาว | ||
คริสต์ศาสนา | พระเยซู | คัมภีร์ไบเบิล | กางเขน | ||
ศาสนาฮินดู | ไม่มีพระศาสดา | พระเวท | โอม | ||
ศาสนาซิกข์ | คุรุนานักเทพ | ครันถสาหิพ | ดาบไขว้ |
อ้างอิง[แก้]
- ↑ http://www.adherents.com/Religions_By_Adherents.html
- ↑ Upper estimate includes syncretism
- ↑ http://www.pewforum.org/Mapping-the-Global-Muslim-Population.aspx
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
ศีลธรรม
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ศีลธรรม (อังกฤษ: Morality) หมายถึงความประพฤติที่ดีที่ชอบทั้งศีลและธรรม
ศีลธรรม ในคำวัดหมายถึง เบญจศีล และ เบญจธรรม คือศีล 5 และธรรม 5 ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ของสังคมระดับต้นสำหรับให้สมาชิกสังคมประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เกิดความสงบสุข ไม่สดุ้งกลัว ไม่หวาดระแวงภัย เป็นหลักประกันสังคมที่สำคัญ สังคมที่สงบสุข ไว้วางใจกันได้ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน ไม่เบียดเบียน ไม่ทะเลาะ ไม่กดขี่ข่มเหง ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน เป็นต้น ก็เพราะสมาชิกของสังคมยึดมั่นอยู่ในหลักศีลธรรมนี้
ศีลธรรม เป็นชื่อวิชาหนึ่งในโรงเรียนที่กำหนดให้นักเรียนทุกคนต้องเรียนมาตั้งแต่สมัยโบราณเรียกว่า วิชาศีลธรรม ปัจจุบันเรียกว่า วิชาพุทธศาสนา
ทัศนะตะวันตก [แก้]
Morality ในทัศนะตะวันตกมาจากภาษาลาตินว่า “moralitas” ที่แปลว่า “กิริยา, ลักษณะ และการปฏิบัติอันเหมาะสม” (manner, character, proper behavior) มีความหมายหลักสามประการ
ประการแรกหมายถึงประมวลความประพฤติ (code of conduct) หรือความเชื่อซึ่งถือเป็นหลักวัดความถูกและผิด “จริยธรรม” เป็นสิ่งที่ไม่เป็นกลางที่ขึ้นอยู่กับการให้คำจำกัดความของสังคม หลักปรัชญา หลักศาสนา และ/หรือ ทัศนคติของแต่ละบุคคล ฉะนั้นกฎการปฏิบัติจึงเปลี่ยนไปตามกาลเวลาหรือกฎการปฏิบัติที่ถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องในสมัยหนึ่งอาจจะถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติในสมัยต่อมา หรือมาตรฐานของกฎการปฏิบัติอันเหมาะสมของสังคมหนึ่งอาจจะไม่เป็นที่ยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติในอีกสังคมหนึ่งเป็นต้น
ประการที่สองในความหมายอย่างกว้างๆ ศีลธรรมหมายถึงกฎความเชื่อและหลักปฏิบัติอันเป็นอุดมคติ เช่น ในปรัชญาที่ว่า “การฆาตกรรมเป็นการผิดจริยธรรม” ซึ่งในการตีความหมายในข้อแรกอาจจะไม่เห็นว่าเป็นสิ่งผิดด้วยเหตุผลบางประการก็เป็นได้แต่ก็อาจจะบ่งว่าไม่ควรจะใช้เป็นกฎการปฏิบัติเพราะเป็นความเชื่อโดยทั่วไป กรณีที่ว่านี้เรียกว่าวิมตินิยมทางศีลธรรม (moral skepticism) [1]
ประการที่สาม “ศีลธรรม” มีความหมายพ้องกับคำว่าจริยธรรมหรือจริยศาสตร์ (Ethics) จริยศาสตร์เป็นการศึกษาของระบบปรัชญาที่เกี่ยวกับจริยธรรม[2] จริยศาสตร์แสวงหาคำตอบของปัญหาต่าง ๆ เช่นการกระทำเช่นใดจึงจะทำให้เกิดผลทางจริยธรรมในสถานการณ์ที่ระบุ (จริยศาสตร์ประยุกต์/applied ethics) คุณค่าของจริยธรรมวัดกันได้อย่างไร (จริยศาสตร์เชิงปทัสถาน/normative ethics) ผู้มีจริยธรรมปฏิบัติตามกฎใด (จริยศาสตร์เชิงพรรณนา/descriptive ethics) พื้นฐานของจริยศาสตร์หรือจริยธรรมคืออะไรและรวมทั้งปัญหาที่ว่ามีจุดประสงค์ที่เป็นกลางหรือไม่ (อภิจริยศาสตร์ metaethics) และ จริยศาสตร์และจริยธรรมวิวัฒนาการขึ้นได้อย่างไรและธรรมชาติของสองสิ่งนี้คืออะไร (จิตวิทยาศีลธรรม/moral psychology) [3]
อ้างอิง [แก้]
- พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) ป.ธ. ๙ ราชบัณฑิต พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คำวัด, วัดราชโอรสาราม กรุงเทพฯ พ.ศ. ๒๕๔๘
ดูเพิ่ม [แก้]
จริยธรรม
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
จริยธรรม หรือ จริยศาสตร์ เป็นหนึ่งในวิชาหลักของ วิชาปรัชญา ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับความดีงามทางสังคมมนุษย์ จำแนกแยกแยะว่าสิ่งไหนถูกและสิ่งไหนผิด หากจะอธิบายอย่างง่ายๆ แล้ว จริยธรรม หมายถึง การแยกสิ่งถูกจากผิด ดีจากเลว มาจากคำ 2 คำคือ จริย กับธรรม ซึ่งแปลตามศัพท์ คือ จริยะ แปลว่า ความประพฤติ กิริยาที่ควรประพฤติ คำว่า ธรรม แปลว่า คุณความดี คำสั่งสอนในศาสนา หลักปฏิบัติในทางศาสนา ความจริง ความยุติธรรม ความถูกต้อง กฎเกณฑ์ เมื่อเอาคำ จริยะ มาต่อกับคำว่า ธรรม เป็นจริยธรรม แปลเอาความหมายว่า กฎเกณฑ์แห่งความประพฤติ หรือหลักความจริงที่เป็นแนวทางแห่งความประพฤติปฏิบัติ [1]
ความหมายตามพจนานุกรมในภาษาไทย จริยธรรม หมายถึง ธรรมที่เป็นข้อประพฤติ ศีลธรรมอันดี ตามธรรมเนียมยุโรป อาจเรียก จริยธรรมว่า Moral philosophy (หลักจริยธรรม) จริยธรรม น. ธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติ ศีลธรรม กฎศีลธรรม [2]
ธรรมตามหลักในศาสนาพุทธ[แก้]
- ดูบทความหลักที่ ธรรม
คำว่า ธรรม พระเดชพระคุณพระธรรมโกศาจารย์ หลวงพ่อพุทธทาส อินทปัญโญ กล่าวว่า คือ
- ธรรมชาติ
- กฎของธรรมชาติ
- หน้าที่ตามกฎของธรรม
- การได้รับผลตามกฎของธรรมชาติ
คำว่า ธรรม พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตโต) กล่าวไว้ว่า คือ “สภาพที่ทรงไว้, ธรรมดา, ธรรมชาติ สภาวะธรรม, สัจธรรม, ความจริง, เหดุ, ต้นเหตุ, สิ่ง, ปรากฏการณ์ ฯลฯ[3]
ที่นำเอาความหมายของคำว่าธรรมที่ท่านผู้รู้กล่าวไว้มาเสนอมากพอสมควรนี้ก็เพื่อความเข้าใจคำว่าธรรม ให้มากขึ้น เพราะเป็นคำที่สำคัญที่สุดและคนทั่วไปมักจะเข้าใจเพียงมัวๆ เท่านั้น
ธรรม หรือสัจธรรม เป็นแม่บท เป็นฐานของทุกอย่าง ต่อจาก สัจธรรม ก็คือสิ่งที่เรียกว่า จริยธรรม อันได้แก่หลักเกณฑ์เกี่ยวกับความดีงาม ซึ่งเป็นความจริงที่มนุษย์จะต้องปฏิบัติ เพื่อให้เกิดผลสำเร็จตามความเป็นจริงของธรรมชาติ ความจริงของมนุษย์ต้องสอดคล้องกับความจริงของธรรมชาติ จึงจะเกิดผลสำเร็จได้ด้วยดี
จากนั้นจึงจะมาถึงวัฒนธรรม ซึ่งเป็นรูปแบบหรือเป็นวิธีปฏิบัติที่จะให้เกิดผลเป็นจริงตามที่มนุษย์ต้องการ
สัจธรรม คือความจริงที่มีอยู่ตามธรรมดา เป็นภาวะของธรรมชาติ
จริยธรรม คือข้อผูกพันที่โยงสัจธรรมนั้นเข้ากับชีวิตและสังคมมนุษย์
วัฒนธรรม คือรูปแบบการปฏิบัติตามจริยธรรมที่ปรากฏในวิถีชีวิตของสังคมมนุษย์ (วัฒนธรรมไทย สู่ยุคเป็นผู้นำและเป็นผู้ให้ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต) สำนักงานวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ โรงพิมพ์การศาสนา พ.ศ. 2538 หน้า 10)
อ้างอิง[แก้]
สาระที่ 2 หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรมและการดำเนินชีวิตในสังคม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น